ARTICLE [ข้อความจาก CEO] ไม่ทำอย่างถี่ถ้วน ก็ทำอย่างบ้าคลั่ง
[ข้อความจาก CEO] ไม่ทำอย่างถี่ถ้วน ก็ทำอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ทำอย่างถี่ถ้วน ก็ทำอย่างบ้าคลั่ง
มี 2 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมาย นั่นคือ แรงขับเคลื่อนและทิศทางครับ ก่อนอื่นแรงขับเคลื่อนนั้นมาจากความกระตือรือร้น
และความกระตือรือร้นนั้นก็มาจากความรักครับ เพราะเรามีคนที่รัก ความรีบร้อนอยากจะทำให้สำเร็จ จึงเปลี่ยนเป็นความกระตือรือร้นที่จะทำมัน
อย่างถี่ถ้วน ส่วนคนที่ไม่มีความกระตือรือร้นก็หมายความว่า เขาไม่มีความรักอยู่ในหัวใจ เราจึงนิยามคนที่ไม่มีความรักอยู่ในหัวใจว่า เป็นคนไม่ดี
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคนที่อยากจะทำอย่างถี่ถ้วน แต่ไม่สามารถทำได้ครับ ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไรครับ? คนเหล่านั้นก็ต้องทำอย่างบ้าคลั่ง
ยังไงครับ แต่ว่ามีที่อื่นที่ถึงจะทำอย่างบ้าคลั่งแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จครับ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกหมดหวัง แต่ว่าที่อะโทมี่เราไม่จำเป็นต้องรู้สึก
หมดหวังเลยครับ เพราะเรามีระบบที่วางไว้ว่า ถ้าทุกคนทำอย่างบ้าคลั่งแล้วจริงๆ ทุกคนจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอนครับ
ที่อะโทมี่นั้น นอกจากจะมีสินค้าคุณภาพดี ราคาถูกแล้ว เรายังมีระบบสู่ความสำเร็จเตรียมไว้ให้ทุกคนด้วยครับ!
การทำอย่างถี่ถ้วนนั้น คือ การข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนครับ ถ้าคุณใช้ชีวิตมาดีจนคนรอบข้างเชื่อคำพูดของคุณ แล้วเริ่มทำธุรกิจ
อะโทมี่ มันก็เป็นเรื่องดีอย่างหาที่สุดไม่ได้เลยครับ แต่ในกรณีที่คุณไม่ได้ใช้ชีวิตมาดีขนาดนั้น เราจึงต้องลงพื้นที่จริง ด้วยการตั้งเป้าหมายอย่าง
บ้าคลั่งว่า เราจะออกไปเจอให้ได้วันละ 100 คน ถึงแม้เราจะตั้งเป้าหมายว่า เราจะออกไปเจอ 100 คนต่อวัน และเริ่มลงมือปฏิบัติแล้ว แต่เราก็
อาจจะรู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีนัก เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้งครับ
แต่ว่า เราไม่จำเป็นต้องสิ้นหวังกับเรื่องนี้เลยครับ เพราะว่าไม่มีใครในโลกทำกิจกรรมเจอร้อยคน หรือติดต่อกับคนแปลกหน้า (Cold Contact)
แบบนี้ได้สมบูรณ์แบบสักคนหรอกครับ แม้กระทั่งตัวผมที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย ยังไม่สามารถออกไปเจอ
100 คน แล้วโน้มน้าวพวกเขาได้สำเร็จทุกคนเลยครับ สิ่งที่ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกไปเจอคน 100 คนต่อวัน
และบ้าคลั่งจะทำมันให้สำเร็จครับ มันคือความเชี่ยวชาญในการอดทนข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนนั้นออกมาได้ครับ
ตำนานที่เกี่ยวกับการข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนอย่างบ้าคลั่งของทุกคนนั้น จะกลายเป็นเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จที่งดงามที่สุด
ในวันข้างหน้า และจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยให้ผู้คนอีกหลายคนข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนได้ง่ายมากขึ้นครับ
และอีกปัจจัยหนึ่ง คือ ทิศทางครับ มีคำกล่าวว่า สิ่งที่อยู่เหนือดวงชะตาคือโหงวเฮ้ง และสิ่งที่อยู่เหนือโหงวเฮ้งคือจิตใจ ดังนั้น จึงมีคำกล่าวที่ว่า
ไม่มีอะไรดีไปกว่าจิตใจของเราครับ แต่ปัญหาก็คือ จิตใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตใจของเราสดใสและคิดบวกอยู่เสมอ
ก็คงจะดีไม่น้อย แต่มันไม่เป็นดั่งใจเราเสมอไปครับ ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ หากมีความตั้งใจแน่วแน่ นั่นก็คือคำพูด
ของเราเองครับ เราสามารถเลือกสิ่งที่จะพูดออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแง่บวก คำพูดที่มีความหวัง หรือคำพูดที่อบอุ่น เราสามารถเลือกมันได้
ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ของเราครับ เพียงแค่คุณตั้งมั่นว่า จะไม่พูดในแง่ลบเด็ดขาดก็ได้แล้วครับ
ถึงแม้จะเป็นการพูดกับตัวเองก็ห้ามพูดในแง่ลบอย่างเด็ดขาดเลยครับ เพราะถึงคนอื่นจะไม่ได้ยิน แต่ตัวเราได้ยิน ทุกๆ คำพูดมีพลังทางจิตวิญญาณ
ดังนั้น บางครั้งมันจึงสร้างปาฏิหาริย์ครับ เช่นเดียวกับที่ในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต’
ถ้ามีคนมาถามผมว่า สร้างอะโทมี่ขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลย ผมจะตอบว่า ผมสร้างมันขึ้นมาด้วย ‘ปาก’ เพียงอย่างเดียวเลยครับ
พระผู้เป็นเจ้าเองก็สร้างโลกขึ้นมาด้วยพระวาจาเพียงอย่างเดียวครับ ถ้าทุกคนพูดแต่เรื่องดีๆ และเรื่องที่น่าพึงพอใจ ทุกคนก็จะได้พบกับอนาคต
อันสวยงามที่น่าพึงพอใจ แต่ถ้าทุกคนพูดแต่เรื่องไม่ดี ก็จะได้พบเจอกับชีวิตที่ล้มเหลวครับ แม้ว่าลิ้นของเราจะเป็นเพียงอวัยวะเล็กๆ ในร่างกาย
แต่มันเป็นเหมือนกับหางเสือของเรือที่จะกำหนดทิศทางของชีวิตเราตามทิศทางที่ลิ้นของเราเคลื่อนไหว
หากจะพูดต่อจากคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่มีอะไรดีไปกว่าจิตใจของเรา’ สักหน่อย ผมอยากจะพูดว่า ‘ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำพูดของเรา’ครับ
ถึงแม้ว่าสิ่งที่อยู่เหนือโหงวเฮ้งจะเป็นจิตใจ แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนจิตใจของเราได้นั้น คือ คำพูดครับ
ครอบครัวอะโทมี่ทุกคนครับ! ขอให้เราก้าวไปสู่อีกด้านของความสำเร็จ ด้วยแรงขับเคลื่อนแห่งความบ้าคลั่งที่จะข้ามผ่านอุโมงค์อันแสนเปรอะเปื้อน
และหางเสือที่ชื่อว่า ‘ลิ้น’ ที่จะนำพาเราไปยังทิศทางด้านบวกอยู่เสมอ
มี 2 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมาย นั่นคือ แรงขับเคลื่อนและทิศทางครับ ก่อนอื่นแรงขับเคลื่อนนั้นมาจากความกระตือรือร้น
และความกระตือรือร้นนั้นก็มาจากความรักครับ เพราะเรามีคนที่รัก ความรีบร้อนอยากจะทำให้สำเร็จ จึงเปลี่ยนเป็นความกระตือรือร้นที่จะทำมัน
อย่างถี่ถ้วน ส่วนคนที่ไม่มีความกระตือรือร้นก็หมายความว่า เขาไม่มีความรักอยู่ในหัวใจ เราจึงนิยามคนที่ไม่มีความรักอยู่ในหัวใจว่า เป็นคนไม่ดี
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคนที่อยากจะทำอย่างถี่ถ้วน แต่ไม่สามารถทำได้ครับ ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไรครับ? คนเหล่านั้นก็ต้องทำอย่างบ้าคลั่ง
ยังไงครับ แต่ว่ามีที่อื่นที่ถึงจะทำอย่างบ้าคลั่งแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จครับ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกหมดหวัง แต่ว่าที่อะโทมี่เราไม่จำเป็นต้องรู้สึก
หมดหวังเลยครับ เพราะเรามีระบบที่วางไว้ว่า ถ้าทุกคนทำอย่างบ้าคลั่งแล้วจริงๆ ทุกคนจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอนครับ
ที่อะโทมี่นั้น นอกจากจะมีสินค้าคุณภาพดี ราคาถูกแล้ว เรายังมีระบบสู่ความสำเร็จเตรียมไว้ให้ทุกคนด้วยครับ!
การทำอย่างถี่ถ้วนนั้น คือ การข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนครับ ถ้าคุณใช้ชีวิตมาดีจนคนรอบข้างเชื่อคำพูดของคุณ แล้วเริ่มทำธุรกิจ
อะโทมี่ มันก็เป็นเรื่องดีอย่างหาที่สุดไม่ได้เลยครับ แต่ในกรณีที่คุณไม่ได้ใช้ชีวิตมาดีขนาดนั้น เราจึงต้องลงพื้นที่จริง ด้วยการตั้งเป้าหมายอย่าง
บ้าคลั่งว่า เราจะออกไปเจอให้ได้วันละ 100 คน ถึงแม้เราจะตั้งเป้าหมายว่า เราจะออกไปเจอ 100 คนต่อวัน และเริ่มลงมือปฏิบัติแล้ว แต่เราก็
อาจจะรู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีนัก เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้งครับ
แต่ว่า เราไม่จำเป็นต้องสิ้นหวังกับเรื่องนี้เลยครับ เพราะว่าไม่มีใครในโลกทำกิจกรรมเจอร้อยคน หรือติดต่อกับคนแปลกหน้า (Cold Contact)
แบบนี้ได้สมบูรณ์แบบสักคนหรอกครับ แม้กระทั่งตัวผมที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย ยังไม่สามารถออกไปเจอ
100 คน แล้วโน้มน้าวพวกเขาได้สำเร็จทุกคนเลยครับ สิ่งที่ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกไปเจอคน 100 คนต่อวัน
และบ้าคลั่งจะทำมันให้สำเร็จครับ มันคือความเชี่ยวชาญในการอดทนข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนนั้นออกมาได้ครับ
ตำนานที่เกี่ยวกับการข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนอย่างบ้าคลั่งของทุกคนนั้น จะกลายเป็นเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จที่งดงามที่สุด
ในวันข้างหน้า และจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยให้ผู้คนอีกหลายคนข้ามผ่านอุโมงค์แห่งความเปรอะเปื้อนได้ง่ายมากขึ้นครับ
และอีกปัจจัยหนึ่ง คือ ทิศทางครับ มีคำกล่าวว่า สิ่งที่อยู่เหนือดวงชะตาคือโหงวเฮ้ง และสิ่งที่อยู่เหนือโหงวเฮ้งคือจิตใจ ดังนั้น จึงมีคำกล่าวที่ว่า
ไม่มีอะไรดีไปกว่าจิตใจของเราครับ แต่ปัญหาก็คือ จิตใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตใจของเราสดใสและคิดบวกอยู่เสมอ
ก็คงจะดีไม่น้อย แต่มันไม่เป็นดั่งใจเราเสมอไปครับ ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ หากมีความตั้งใจแน่วแน่ นั่นก็คือคำพูด
ของเราเองครับ เราสามารถเลือกสิ่งที่จะพูดออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแง่บวก คำพูดที่มีความหวัง หรือคำพูดที่อบอุ่น เราสามารถเลือกมันได้
ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ของเราครับ เพียงแค่คุณตั้งมั่นว่า จะไม่พูดในแง่ลบเด็ดขาดก็ได้แล้วครับ
ถึงแม้จะเป็นการพูดกับตัวเองก็ห้ามพูดในแง่ลบอย่างเด็ดขาดเลยครับ เพราะถึงคนอื่นจะไม่ได้ยิน แต่ตัวเราได้ยิน ทุกๆ คำพูดมีพลังทางจิตวิญญาณ
ดังนั้น บางครั้งมันจึงสร้างปาฏิหาริย์ครับ เช่นเดียวกับที่ในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต’
ถ้ามีคนมาถามผมว่า สร้างอะโทมี่ขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลย ผมจะตอบว่า ผมสร้างมันขึ้นมาด้วย ‘ปาก’ เพียงอย่างเดียวเลยครับ
พระผู้เป็นเจ้าเองก็สร้างโลกขึ้นมาด้วยพระวาจาเพียงอย่างเดียวครับ ถ้าทุกคนพูดแต่เรื่องดีๆ และเรื่องที่น่าพึงพอใจ ทุกคนก็จะได้พบกับอนาคต
อันสวยงามที่น่าพึงพอใจ แต่ถ้าทุกคนพูดแต่เรื่องไม่ดี ก็จะได้พบเจอกับชีวิตที่ล้มเหลวครับ แม้ว่าลิ้นของเราจะเป็นเพียงอวัยวะเล็กๆ ในร่างกาย
แต่มันเป็นเหมือนกับหางเสือของเรือที่จะกำหนดทิศทางของชีวิตเราตามทิศทางที่ลิ้นของเราเคลื่อนไหว
หากจะพูดต่อจากคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่มีอะไรดีไปกว่าจิตใจของเรา’ สักหน่อย ผมอยากจะพูดว่า ‘ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำพูดของเรา’ครับ
ถึงแม้ว่าสิ่งที่อยู่เหนือโหงวเฮ้งจะเป็นจิตใจ แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนจิตใจของเราได้นั้น คือ คำพูดครับ
ครอบครัวอะโทมี่ทุกคนครับ! ขอให้เราก้าวไปสู่อีกด้านของความสำเร็จ ด้วยแรงขับเคลื่อนแห่งความบ้าคลั่งที่จะข้ามผ่านอุโมงค์อันแสนเปรอะเปื้อน
และหางเสือที่ชื่อว่า ‘ลิ้น’ ที่จะนำพาเราไปยังทิศทางด้านบวกอยู่เสมอ